พิสูจน์ดูจิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพูดถึงพระปฏิบัติไง ถ้าพระปฏิบัติเขาพูดกันแบบว่าเห็นไหม ในสัลเลขธรรมของหลวงตา ท่านบอกว่าไม่ให้คลุกคลี ไม่ให้พูดเรื่องโลกเห็นไหม เรื่องการค้าการขาย เรื่องต่างๆทีนี้คำพูดของเรามันก็เลยกระชับ เวลาพูดกันกระชับ เวลาครูบาอาจารย์เราพูด จะพูดคำเดียว เวลามาปฏิบัติอย่างเช่น เช้า เห็นไหม เวลาถือธุดงค์มา มันกระชับไง มันจะเหนื่อยยังไงก็แล้วแต่ มันรวบรัด ถ้ารวบรัดแล้วมันจะเอาเวลาของเรามาปฏิบัติ แต่ถ้ามันเยิ่นเย้ออย่างที่เขาอธิบายกัน อธิบายครึ่งวันก็ได้ ถ้าอธิบายครึ่งวันจนเดี๋ยวนี้เรารำคาญตัวเราเองนะ รำคาญตรงที่ว่าเราพูดธรรมะ พูดซ้ำ พูดซาก แล้วถ้าคนที่นั่งฟังอยู่มันจะเหมือนกับว่าเรานี้แผ่นเสียงตกร่อง พูดอยู่แต่ของเก่าๆ โดยหลักพูดอยู่อย่างนี้ไง แต่คนถามมันเยอะไง ทีนี้พูดซ้ำพูดซากพูดซ้ำพูดซาก เพราะคนที่ฟังมันมาใหม่ แต่ไอ้คนพูดมันคนพูดคนเก่า นี่คำพูดมันก็เลยกระชับใช่ไหมถึงบอกว่าสั้นๆ
ฉะนั้นคำว่าสั้นๆ ทีนี้ สั้นๆ เรารับรู้เห็นไหม ดูอย่างลูกศิษย์หลายคนพูดเลย หลวงพ่อพูดพวกผมต้องไปตีความ หลวงพ่อก็รู้ของหลวงพ่อคนเดียว เราเข้าใจว่าคนพูดเข้าใจ เพราะคนพูดเป็นคนพูดมันรู้แล้วเข้าใจ แต่ไอ้คนฟังมันไม่เข้าใจเห็นไหม คนฟังต้องจับแล้วไปขยายความ เขาคิดของเขา เขาพูดอย่างนั้นว่าเราพูดกระชับ เขาร้องเรียนทำนองว่าเราพูดรู้เรื่องคนเดียว คือว่าคนพูดรู้เรื่อง แต่คนฟังไม่รู้เรื่อง ทีนี้ถ้าเราขยายความปั๊บ มันก็แบบว่าเยิ่นเย้อ เยิ่นเย้อแล้วมันยืดยาด เราก็พูดแต่สั้นๆใช่ไหม นี่พูดสั้นๆ เวลาพูดเราเข้าใจอย่างที่บอกเขาอ้างไง เขาบอกว่าหลวงพ่อก็พูดอยู่ว่าการดูจิตๆหลวงพ่อก็พูด พูดถึงหลวงตาดูจิต เขาก็อ้างว่าหลวงตาก็เคยดูจิตมา แล้วเขาอ้างอย่างนี้ เขารู้อยู่ คนอ้าง คำว่าอ้างมันรู้ผิดรู้ถูกใช่ไหม
อ้างว่าหลวงตาเคยดูจิต ถ้าเคยดูจิตก็คือแนวทางเดียวกัน คือบนถนนสายเดียวกัน อย่างเช่นเราเข้ากรุงเทพ ถนนสายเดียวกัน คนไปเพชรเกษม ถนนสายเดียวกันก็ต้องเข้าสู่กรุงเทพ มาอ้างว่า เป็นผู้ดีเห็นไหม พูดนิ่มนวล พูดมีเหตุมีผล เรานี้พูดไม่มีเหตุมีผล เราพูดด้วยอารมณ์ ไม่ใช่อารมณ์หรอก มันพูดด้วยพลังของใจ เวลาหลวงปู่มั่น พลังของใจมันออกมารุนแรงมาก
ฉะนั้น ตอนนี้เขาพูดเลยบอกว่าทั้งหลวงตาด้วย ทั้งพระสงบด้วย เวลานี้บอกว่าพระสงบโจมตีเขาน่าดูเลย แต่เวลาเขาบอกว่า พระสงบก็พูดเรื่องดูจิตเหมือนกัน เวลาเขาจะอ้างเราไปเป็นฐานนะ เขาก็อ้างนะ ถ้าอ้างเป็นฐานที่เป็นประโยชน์กับเขา เขาอ้างทันทีเลย แต่เวลาเราพูดถึงเหตุผลปั๊บ เขาบอกว่า เรานี้โจมตีทันทีเลย ใครไปโจมตีใคร ถ้าเหตุผลมันจริง เราเคยพบหลวงปู่ดูลย์ไหม เราเคยพบหลวงปู่มั่นไหม เราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านนิพพานปี ๙๒ เราเกิดปี ๙๔ เราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่นทำไมเราเคารพหลวงปู่มั่นล่ะ ทำไมเราเคารพครูบาอาจารย์ล่ะ เราอายุเท่าไหร่เราเกิดปี ๙๔ พระพุทธเจ้าตายมาแล้วสองพันกว่าปี ทำไมเราไปหล่อรูปพระพุทธเจ้ามากราบมาไหว้มาเคารพบูชากัน รูปเคารพของพระพุทธเจ้า เราเคารพบูชาทำไม
ก็พระพุทธเจ้าท่านสอนถูก ท่านสอนนะ ท่านวางหลักธรรมไว้ให้ชาวพุทธมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วนี่ พูดถึงเวลาคำสอนที่สอน ถ้ามันถูกนะ เราไม่เคยเห็นหน้ากันเลยเราเคารพบูชากัน ทีนี้ถ้ามันเคารพบูชากันมันก็ต้องมีเหตุมีผล ต้องไปทำทางเดียวกัน เห็นไหม ท่านเคยทำมามันเส้นทางเดียวกัน มันก็ต้องเหมือนกัน ไม่เหมือน มันเส้นทางเดียวกัน เริ่มต้นเพราะอะไรเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เวลาทำไปแล้วมันแตกแยกซอยออกไป เขาจะเข้ากรุงเทพ แล้วมึงเลี้ยวออกไปทางไหนล่ะ มึงออกไปโน่น เข้าไปสุพรรณ มึงออกพม่าโน่น ที่เราพูดเราพูดตรงนี้ ไอ้นี่เป็นพยาน ตอนนี้จะไม่เอ่ยชื่อใครมันลงซีดี มันเป็นพยานเห็นไหม มาทีไรนะ เหมือนทุกทีเลยจริงไหม ลูกศิษย์เขามาหาเราทีไรนะ หลวงพ่อสงบกับอาจารย์เขาสอนเหมือนกันเปี๊ยะ เหมือนกันเปี๊ยะ
ใครมาก็เหมือนกันทุกที เอ้าจริงๆนะ หลวงพ่อสงบกับอาจารย์เขา ดูจิตเหมือนกันเลย เหมือนกันเลย เราบอกไม่เหมือน ของเราไม่ใช่ดูจิต เพราะลูกศิษย์มาหาเยอะมาก เวลาใครมาดูจิตเราบอก เฮ่ย เขาไม่ใช่ดูนะ เขาพิจารณา เขาพิจารณา บางคนนี้ผงะเลยนะ มีแม่ชีมาจากใต้ เฮ่ย เขาพิจารณานะ หา? ได้ค่ะๆ กลับเลยเห็นไหม เขาพิจารณาจิต เขาไม่ใช่ดู เขาพิจารณาไง เขาพิจารณาหาเหตุหาผล คนเราต้องพิจารณารู้ถูกรู้ผิดมันถึงจะมีการแก้ไข ไม่ใช่ซื่อบื้อไปกับมันอย่างนั้น
ถึงอ้างว่าเราก็พูดเรื่องดูจิต หลวงตาก็ดูจิต ไม่ใช่หรอก เราจะยกพระพุทธเจ้าเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ทรมานตนอยู่ ๖ ปี เวลาอดอาหารอยู่ พออดอาหารเสร็จแล้ว ใช่ไหม แล้วที่ว่าบัญญัติว่าห้ามอดอาหาร ห้ามอดอาหาร ห้ามอดอาหารเพราะอะไร เพราะตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหารเพราะอะไร เพราะความเข้าใจผิด ตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอดอาหาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมนะ พอยังไม่ตรัสรู้ธรรมก็คิดว่า กิเลสมันอยู่กับเรา ทุกอย่างมันอยู่กับเรา จะทรมานตน เห็นไหม กลั้นลมหายใจ ร่างกายมันเป็นที่อยู่อาศัยของกิเลสเราต้องต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้ด้วยความไม่รู้เห็นไหม ก็กลั้นลมหายใจ สลบเลย อดอาหารไม่กิน ก็ ๔๙ วัน จนรากขนนี้เน่า จนช็อกสลบไปถึง ๓ หนแต่มันไม่ตายเพราะอะไร ไม่ตายเพราะว่าท่านสร้างบุญญาธิการมาสร้างบุญมาเยอะ
ถ้าท่านบอกว่าเราตถาคตส่งเสริมการอดอาหาร เราตถาคตส่งเสริมความเข้มแข็ง เราว่าพระนี่จะตายเป็นเบือเลย พระจะตายอื้อเลย เพราะพระเราต้องมุ่งมั่นมาก ทุกคนจะเอาชนะกิเลสให้ได้ แล้วจะตายฟรีๆเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าห้ามอดอาหาร แต่ถ้าใครต้องการอดอาหาร เพื่อเป็นอุบายวิธีการเห็นไหม คำว่าอุบายวิธีการมันเหมือนคนมีปัญญาล่ะ ที่ครูบาอาจารย์ท่านให้ผ่อนอาหารอดอาหารนี่เห็นไหมเพราะอะไร เพราะถ้าใครไม่ภาวนาจะไม่รู้เลยเพราะเวลากินอิ่มนอนอุ่นกิเลสมันตัวพองๆ จะนั่งสัปหงกตลอดเวลา หลวงตาพูดบ่อยมากว่าเวลาที่ท่านอดอาหารอยู่นะ จิตนี่ อู้หู ดีมากเลย แต่มันจะไม่ฉันไม่ได้เพราะมันก็จะตาย เวลาจะฉันข้าวมันเถียงกันในหัวใจเห็นไหม มันเถียงกันเลยนะ จะกินหรือไม่กิน ถ้ากินขึ้นมานี่ก็ต้องกินเพื่อดำรงชีวิต แต่กินขึ้นมาแล้วนะ มันก็มานั่งสัปหงกโงกง่วง อดอาหาร ๓ วันแรก โอ้โห หิวนะ พอเลยวันที่ ๓ ไปนะ นั่งเป็นหัวตอเลย ท่านนั่งเป็นหัวตอเพราะจิตมันดีเห็นไหม ถ้าอดอาหารเป็นอุบายวิธีการเราตถาคตอนุญาต
เพราะพระพุทธเจ้าทดสอบแล้วมันผิดใช่ไหม แต่ถ้าคนที่มีปัญญามันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ย้อนกลับมาไอ้เรื่องดูจิต ถ้าดูจิต ครูบาอาจารย์ เราเอาหลวงปู่ดูลย์ เราเอาหลวงตา นี่พระอรหันต์ หลวงปู่ดูลย์หลวงตาพระอรหันต์ คำว่าพระอรหันต์นี้มันต้องทดสอบจนแน่ชัดมาแล้ว ถ้าไม่แน่ชัดมาแล้ว มันจะรู้ผิดรู้ถูกได้ยังไง อย่างเช่นหลวงตานี่หลวงตาท่านพูดนะ เราพิจารณาของเรา เวลาหลวงตาท่านบวชใหม่ๆท่านอยู่วัดโยธานิมิต ท่านไปถามพระครู พระครูเห็นไหม ไม่ใช่อุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์เป็นเจ้าคุณจูม อุปัชฌาย์เห็นไหม เห็นเดินจงกรมอยู่ ถามว่าเดินจงกรมนี้ทำยังไง เรากำหนดพุทโธ หลวงตาท่านก็บอกว่านึกพุทโธท่านก็พุทโธด้วย พุทโธๆ ขนาดท่านพุทโธอยู่ ๗ ปี นะ เป็นสมาธิได้ ๓ หน ๗ ปี
ทีนี้พอ ๗ ปี ขณะที่ทำพุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธไปเรื่อยๆ พอมันรวมทีนึงก็อยากได้ อยากได้ก็อู้หู ต้องต่อสู้ขวนขวายอยู่นาน ก็ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ นี่ทำโดยที่ว่าท่านเรียนหนังสืออยู่ แล้วท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านกำหนดพุทโธของท่าน แต่เวลาท่านออกปฏิบัติครั้งแรกเลยที่ออกปฏิบัติ ท่านบอกท่านดูจิต ดูจิตเหมือนกัน เพราะอะไรเพราะว่าเป็นมหาแล้วมีปัญญาแล้ว พอเป็นมหาพอมีปัญญา นี่ พวกปัญญาชนก็คิดว่าตัวเองทำได้ทุกคนมีความมั่นใจไง แล้วก็มาดูจิตอยู่เห็นไหม ดูจิตมันก็เป็นนะ มันก็ลงมันก็สงบได้ พอสงบลงได้แต่มันรักษาไว้ไม่ได้ รักษาไว้ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่มีจุดยืนไม่มีสถานที่ ไม่มีคำบริกรรมไม่มีที่อะไรยึดมั่น มันก็เสื่อมไป พอมันเสื่อมไปนะ มันเสื่อมไปเพราะเหตุใด พยายามเต็มที่เลยนะ เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ท่านพูดเอง เหมือนเข็นครกขึ้นภูเขานะ พอวันสองวันมันก็ไหลลงมา วันสองวันมันก็ไหลลงมา มันยืนอยู่ไม่ได้หรอก นี้เป็นเพราะอะไร หาเหตุหาผล เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะอะไร อ๋อ สงสัยขาดคำบริกรรม
เพราะท่านเคยกำหนดพุทโธมาแล้วนะ เพราะอยู่ที่วัดโยธานิมิตร เคยกำหนดพุทโธมาแล้วเห็นไหม แต่พุทโธ ๗ ปี มันสงบได้ ๓ หน แล้วที่ไอ้นี่มันสะดวกไหม ทุกคนว่าสะดวกว่าง่ายทั้งนั้น ดูจิตๆ ง่ายทั้งนั้น พอถึงเวลาแล้วเป็นยังไงล่ะ ถึงเวลามันเป็นยังไง แต่คนดูจิตนะ สุดท้ายท่านปฏิบัติมาแล้วท่านบอกว่า เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ท่านใช้คำว่าปัญญาอบรมสมาธิ นั่นก็เหมือนกัน สิ่งที่หลวงปู่ดูลย์พูด มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิเพราะอะไร เพราะท่านบอกว่าให้รู้จิตหรือดูจิตตัวใหญ่ๆ ท่านไม่ได้เขียนธรรมดานะ ให้รู้จิตดูจิต รู้จิตหรือดูจิตตัวใหญ่เหมือนบริหารจัดการ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาไงไม่ใช่เพ่งเอา แต่นี่ตัวเองไม่เข้าใจแล้วเพ่งเอา พอเพ่งเอาขึ้นมาแล้วถ้ามันเป็นจริงเห็นไหม หลวงปู่ดูลย์ท่านเคยอาศัยอ้างใครว่าให้เห็นตามท่าน หลวงปู่ดูลย์ท่านทำของท่าน ท่านก็มั่นใจในตัวของท่าน ท่านก็สอนโดยตัวของท่าน เห็นไหม แล้วดูสิหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาเห็นไหมว่า สมัยก่อนดูจิตเป็นวงแคบๆ สมัยครูบาอาจารย์มันเป็นวงแคบในการปฏิบัติดูจิต แต่ในปัจจุบันนี้ ที่ไหนก็ดูจิต ที่ไหนก็ดูจิต
คำว่าคนมีบารมี ขนโคกับเขาโค คนที่มีอำนาจวาสนาคนที่มีสติปัญญามันมีน้อย แล้วคนที่มีสติปัญญามันทำของมัน ดูสิอย่างเช่นพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะ แล้วดูลูกศิษย์ลูกหาที่ประพฤติปฏิบัติมา คนจะมีอย่างนั้นมันมีน้อย แล้วมีน้อยขึ้นมา แล้วว่าเราโจมตี เห็นไหม เราจะไปโจมตีใคร เพราะในคำพูดของเขาเห็นไหม ลัดสั้น จะเป็นโสดาบันภายใน ๗ วัน เป็นโสดาบันภายใน ๗ เดือน แล้วมึงทำได้จริงหรือเปล่าล่ะ มึงทำได้จริงหรือเปล่า นี้คืออะไรล่ะ เราพูดตรงนี้ไง เราไม่ได้โจมตีนะ แต่เราพูดถึงการฉ้อฉล การฉ้อฉลสังคม ให้สังคมออกไป แล้วพอไปแล้ว พอจะไปอย่างนั้นเห็นไหม ถ้ามีคนรู้จริงอยู่มันก็จะโต้แย้งใช่ไหม ก็จะบอกว่าทุกคนเห็นด้วยกับเรา ทุกคนเห็นด้วยกับเรา
ถ้าคนที่เป็นของจริง หลวงตาท่านไม่ตอบโต้ เห็นไหม ท่านจะบอกว่า ในธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่กล่าวร้าย ไม่พูดให้คนเสียหาย เพราะท่านมีคุณธรรมของท่าน พวกที่มิจฉาชีพ พวกมิจฉาทิฏฐิมันก็อาศัยอ้างอิง อ้างอิงแล้วท่านรู้นะ แต่เพราะ หนึ่ง คุณธรรมแล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ไง ถ้าท่านพูดออกไปมันจะกระเทือนกันหมด เวลามีปัญหาอย่างเช่นอะไรนะ เรื่องหนังสือรำลึกวันวานเห็นไหม ที่เราส่งเทปขึ้นไปเห็นไหม ท่านฟังแล้วท่านบอกว่า ขี้ อย่าไปคุ้ย ยิ่งคุ้ย กลิ่นมันยิ่งแรง คือท่านจะให้สงบ ให้เฉยๆ แล้วเรื่องมันจะซาไปเองไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะให้เวรกรรมมันแสดงตัวของมัน ใครทำกรรมดีได้ดีใครทำกรรมชั่วได้ชั่ว เหมือนกับธรรมวินัย มันจะซัดซากศพเข้าฝั่ง ใครทำชั่วมันจะซัดซากศพเข้าหาฝั่ง ให้ทำดี ใครทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ในครูบาอาจารย์ท่านยึดหลักอย่างนี้
ทีนี้ ยึดหลักอย่างนี้พวกนี้เขาก็ได้ใจน่ะสิ เขาได้ใจเพราะว่าไม่ตอบโต้ ไม่ชี้ถูกชี้ผิดใช่ไหม แล้วไม่ชี้ถูกชี้ผิด แต่รู้นะ จะรู้จะแก้ไขเป็นเฉพาะตัวบุคคล อย่างเช่นคนไข้ไปหาหมอ หมอจะรักษาคนไข้นั้น อย่างเช่นใครภาวนาผิดภาวนาถูกไปหาท่าน ท่านจะจัดการเลย ท่านจะชี้ถูกชี้ผิดให้ เพราะตอนที่เราอยู่ที่นั่นมันเป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ คนมันไปอย่างนี้ ในสมัยปัจจุบันท่านชราภาพด้วย แล้วมันไม่มีใครเข้าได้ใกล้ไง ทุกคนก็ไปนั่งที่ศาลาแล้วบอกว่าท่านรับประกันทั้งนั้น คือก็เอาชื่อท่านมาหากิน แล้วก็บอกด้วยว่าท่านเห็นด้วยกับการดูจิต ถ้าท่านเห็นด้วยกับการดูจิต ทำไมท่านไม่พูดถึงเรื่องดูจิตเลยล่ะ ทำไมท่านพูดถึงปัญญาอบรมสมาธิล่ะ ทำไมไม่พูดถึงเรื่องดูจิตเลย แล้วไม่เห็นด้วย คือว่าการกระทำของหลวงตาหรือความเห็นของเรานะเคยทำมาแล้ว การดูจิตนี้มันเหมือนกับนักหลบ มันแค่ได้พักอาศัย อย่างเช่นเราภาวนาพุทโธๆๆๆ เวลาเหนื่อยนักเห็นไหม เราจะหยุดของเราเห็นไหม เราจะพักของเรา มันแค่เป็นนักหลบไง มันไม่ใช่นักรบ มันไม่ใช่การเข้าไปเผชิญกับปัญหา ถ้าไม่เข้าไปเผชิญกับปัญหา ปัญหาจบไม่ได้ ปัญหามันจะจบได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าไปเผชิญกับความจริง แล้วเราแก้ไขตามความจริงนั้น นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ
แต่ถ้ามันหลบเอาอย่างนี้ มันเป็นนักหลบ มันไม่เป็นความจริง ทีนี้พอไม่เป็นความจริงขึ้นมาสิ่งต่างๆก็ทำกันไป ก็ไหลตามกระแสของสังคมโลกไป แล้วมันไม่มีใครคัดค้าน เราจะโจมตีขนาดไหนเราพูดถึงข้อเท็จจริงตามความเป็นจริง ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นอย่างนั้น แล้วอย่างที่ว่าอย่างที่เขาพูดกันนะ ที่บอกว่าพระสงบโดนไล่ออกมาแล้ว พระสงบโดนไล่ออกไปแล้ว ไม่มีความสำคัญเลย ไม่มีความจริง จะไล่เราไปอยู่ไหนก็ไล่ไปเถอะ ไล่ให้เราออกนอกโลกก็ไล่ไปเลย เพราะคนไล่กับเรามันคนละคนไม่เกี่ยวกันหรอก ไม่เกี่ยวกันเลย เอ็งจะไล่กูไปไหนล่ะ บอกเลยไอ้หงบต้องอยู่ดาวอังคาร ห้ามอยู่ในโลกนี้ เออก็เดี๋ยวกูจะไป จะเป็นอะไรไป นี่ไง โลกธรรม ๘ ความสรรเสริญความนินทา เรื่องไร้สาระ ไร้สาระมากเลย ถ้าเรามีความจริงในหัวใจ เอ็งมีความจริงในหัวใจไหม ถ้าเอ็งมีความจริงในหัวใจ สิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริงไหม มันไม่มีอะไรเป็นความจริงซักอย่างหนึ่ง ถ้ามันไม่มีความจริงเราจะหวั่นไหวไปกับใคร ถ้าหวั่นไหวอย่างนี้ก็เหมือนพวกเขา นี่ไง การสร้างภาพ เขาบอกว่าเราโจมตีเขารุนแรงมาก สังเกตได้ไหม เราไม่เคยพูดสิ่งนี้เลยทั้งๆที่เรารู้มาตลอด แต่ที่มันเหลืออดไง มันเหลืออด หนังสือของเขาเขียนมา พวกปฏิบัติพุทโธนี้หลงกันมานาน สังคมไทยหลงกันมานาน ชาวพุทธกำหนดพุทโธๆ เอ็งจะพูดอะไรเอ็งก็พูดของเอ็งไปสิ
แล้วคำว่าพุทโธนี้ใครเป็นคนสอน พระพุทธเจ้าเป็นคนสอน แล้วครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นเป็นคนสอน ทั้งๆที่เราเนี่ย เราพิจารณาจิตนะ แต่เราก็พุทโธอยู่เหมือนกัน แต่เราพิจารณาจิตนะ นี่เรารักษาสมบัติของชาติไง รักษาประเพณีวัฒนธรรมของพระปฏิบัติไง แล้วนี่เพราะอะไร เพราะถ้ามันมีพุทโธมีอะไรอยู่นะ มันแบบว่ามันก็จะรวบอำนาจ ถ้าอำนาจยังไม่อยู่กับเรา เขาจะรุกไปเรื่อยๆ รุกจนกว่าจะรวบอำนาจมาไว้ที่ตัวให้จบให้ได้ เหมือนกับการคุมสื่อ ถ้าคุมได้แล้วไม่มีสิ่งใดๆ ออกมาแล้ว เขาจะรวบอำนาจตรงนั้น ฉะนั้นถึงบอกว่า ใครกำหนดพุทโธนี่หลงใหลกันมานาน แล้วเขาบอกเขาไม่ได้โจมตีนะ แต่เขาบอกว่า น่าสลดใจ การนั่งสมาธิแล้วตัวแข็งทื่ออย่างนี้ การนั่งสมาธิ การทำสมาธิเป็นสมถะที่ไม่มีประโยชน์อย่างนี้ แล้วเขาบอกว่าอะไรนะ จิตดับไม่มีอย่างนี้ จิตว่างไม่มีอย่างนี้ จิตส่งออกไม่ได้ไม่มีอย่างนี้
แล้วคำพูดอย่างนี้ มันเป็นคำพูดของพระกรรมฐานไง จิตส่งออกนี่เป็นธรรมดาของการปฏิบัติ เวลาไปนี่จิตส่งออก แล้วพอจิตส่งออกพวกเราก็ต้องตั้งสติระลึกขึ้นมา ให้มันกลับมา แล้วบอกว่าจิตส่งออกไม่มี ส่งออกคือสัญญาอารมณ์ต่างหาก แล้วจิตส่งออกไม่มี แล้วอย่างนี้เป็นการโจมตีหรือเปล่า เขาโจมตี เขาเซาะอยู่ เขาทำลายกรรมฐานกันอยู่
เขาโจมตี เราต่างหากไม่ได้โจมตี เราเอาสิ่งที่เขาโจมตี ที่เขาชี้มาว่าสิ่งนี้ไม่ถูกสิ่งนี้ไม่ถูกเอามาเผยแผ่ เราเอาคำพูดของเขาที่ว่าพุทโธหลงกันมานาน สังคมชาวพุทธปฏิบัติกันหลงมานาน หลงใหลมานาน กำหนดพุทโธกว่าจิตจะสงบ ชาตินี้จะได้วิปัสสนาหรือเปล่า พวกนี้ทำให้เสียเวลาเปล่าพวกนี้ปฏิบัติแล้วไม่ได้ผลเห็นไหม ที่ทำมาน่าสังเวชมากการปฏิบัติ เรากล้าพูดนะด้วยความมั่นใจของเรา นี่คือก้าวแรกของเขา ถ้าก้าวต่อไปของเขา เขาจะเริ่มโจมตี พระอรหันต์ไม่มี สิ่งที่พวกเรายึดถือว่าครูบาอาจารย์เป็นพระอรหันต์ เป็นการเชิดชูกันเองอีกนะ มันเป็นสเต็ปของเขา เวลาเขาทำลายนะ เขาทำลายด้วยความนุ่มนวลไง ไอ้พวกเราก็อู้หูย ออมชอมไง อะไรนะ ศาสนสัมพันธ์ไง สัมพันธ์ไปตายไง สัมพันธ์ไปให้เขาเชือดไง แล้วเวลาเราพูดความจริงขึ้นมา อู๋ย โจมตีเขา แล้วเอ็งโจมตีพุทโธทำไมเอ็งไม่พูดบ้าง เอ็งโจมตีว่าพุทโธทำให้เสียเวลาเปล่า พุทโธทำให้สังคมไทยหลงใหลกันมา เราหลงกันมาพอแรงแล้วไอ้พวกกำหนดพุทโธหลงกันมาพอแรงแล้ว เลิกกันซะที กลับมาดูจิตกันเถิด อย่างนี้ โจมตีหรือเปล่า อย่างนี้โจมตีไหม เวลาเขาทำนะ แหม นุ่มนวล ไม่ทำอะไรเลย สงบนี่แหม ต่อต้าน
คนเป็นโรคเป็นภัย เขาเอาเชื้อโรคเข้ามาในกรรมฐานเรา แล้วเรามันเป็นวัคซีน เป็นยาต่อต้านโรค มันผิดตรงไหน มันผิดยังไง เราไปโจมตีใคร ถ้าเขาจะดูจิตเขาก็ดูจิตของเขาไปสิ เขาพูดถึงพุทโธว่าตัวแข็งทำไม เขาพูดถึงพุทโธว่าหลงใหลมานานทำไม เขาถ้าพุทโธทำให้เสียเวลาเปล่าทำไม เขาพูดให้เสียเวลา เขาบอกว่าเราปฏิบัติกันโดยที่ไม่ได้ผล แล้วปฏิบัติแล้วจริงๆแล้วได้ผลหรือไม่ได้ผลคนปฏิบัติจะรู้เอง แล้วเขาว่าของเขาได้ผลไง ถ้าได้ผล ของดีนะ เขาจะเก็บไม่ให้ใครเห็นเลย ถ้ามึงได้ผลนะคนวิ่งไปหามึงเอง เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ต้องคิดหรอก ไม่ต้องห่วงหรอก ว่าเดี๋ยวจะไม่มีใครไปหาเอ็ง ถ้าเอ็งของเอ็งดีนะ ไปเอง แต่ของเรา โทษนะ โทษนะ ไม่ได้เชิญพวกเอ็งมาเลยนะ กูไม่ได้บอกให้พวกมึงมาเลยนะมึง มึงมากันเอง มึงดั้นด้นกันมา กูเรียกพวกมึงมาเหรอ เขามาเอง แล้วถ้าเป็นความจริง เพราะเขาขอให้เขารู้จริง
นี่ไง ที่บอกว่าเราโจมตีๆ ก็มึงกลัวความลับมึงแตกใช่ไหม เพราะเราฟังนะ ฟังที่ว่า สิ่งที่ว่าจิตดับไม่มี เพราะเราฟังดูในเทศน์ของครูบาอาจารย์เราทุกองค์ มันไม่มี คำนี้เป็นคำพูดของหลวงตา หลวงตาบอกฟังเทศน์หลวงปู่มั่น จิตดับไป ๓ วัน แล้วเวลาท่านพูดถึงการพิจารณาเรื่องเวทนาของท่าน เวทนาดับหมด เหลือสักแต่ว่ารู้ คำว่าจิตดับนี่นะ เป็นคำพูดของหลวงตานะ เวลาเขาเขียนบอกว่าจิตดับนี้ ไม่มี ไม่มีหรอก ไม่มีอยู่จริง คือคำไหนนะ ถ้าเป็นคำพูดของหลวงตาที่เป็นคำที่แบบว่าเป็นผลที่ว่ามั่นคง เขาจะเอาคำนี้มาตั้ง แล้วอธิบายว่าไม่มีหรอก อธิบายทางวิชาการ ไม่มี ไม่มี ทั้งๆที่อธิบายทางวิชาการนี่ มึงโง่ เพราะว่าอะไร ท่านพูดนะ เพราะคนมัน กระดูกมันคนละเบอร์ ความรู้มันคนละชั้น
เวลาหลวงตาท่านบอกจิตท่านดับเพราะฟังเทศน์หลวงปู่มั่นเห็นไหม ท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นจะเทศน์นะ เทศน์ถึงที่สุดทุกกัณฑ์ แต่มันไม่มัน ท่านจะต้องไขก็อก ท่านจะต้องไปพูดผิดๆถูกๆ พอบอก ไม่ใช่นะ โอ้โห หลวงปู่มั่นจะเทศน์สุดยอดเลย แล้วถ้าฟังเทศน์นะพอจิตท่านลงนะ มันเสียง แว้วๆๆอยู่ข้างบนเห็นไหม จิตนี้ลงหมดเลยนะ บางวันนะ จิตดับถึง ๓ วัน จิตเนี่ยดับ คือว่า มันดับ หมายความว่า อารมณ์ความรู้สึกที่มันออกรับรู้ข้างนอกมันหดเข้ามาเป็นตัวมันเอง คือมันจะทรงตัวมันเองตลอดเวลา คือมันไม่ ออกรับรู้ไง อยู่ถึง ๓ วันคือแบบเวลาใครนั่งพุทโธๆจิตสงบนะ เวลาออกจากสมาธิมา ตัวจะเบาเหมือนกับลอยได้ เดินอยู่นะ แต่ความรู้สึกเรา มันเหมือนตัวนี้นะ เราย่างเท้าออกไปมันไม่รับรู้ ความรู้สึกเหมือนเราลอยไปลอยมาเลยล่ะ คำว่าลอยไปลอยมาก็จะไม่มีสติอีกละ มันลอยไม่ได้หรอกเพราะไปไหนคนต้องเดินด้วยเท้า แต่เท้านี้มันเดินไปโดยสัญชาตญาณ แต่จิตมันไม่รับรู้แม้แต่ความรู้สึกการก้าวเดินของเท้าเลยล่ะ แล้วมีความสุขในจิตในร่างกายนี้มาก
นี่ไง มันดับจากความรู้สึกภายนอกไง แล้วมันมาอยู่ มาทรงตัวอยู่ในตัวของมันเองไง พอทรงตัวของมันเอง จิตมันดับที่ไหน จิตมันเข้าถึงฐานของมันต่างหาก แต่ทีนี้ ภาษาสมมุติมันมีแค่นี้เองไง แล้วท่านจะสื่อความหมายกับลูกศิษย์ใช่ไหม ท่านจะพูดให้ฟังให้เห็นภาพชัดเจนว่า บางที เราฟังเทศน์หลวงปู่มั่น จิตเราดับถึง ๓ วัน ถ้าดับ ๓ วัน ถ้าจิตมันดับหลวงตาก็ตายไปแล้ว จิตดับก็คนตายนะสิ นี้ภาษาโลกนะว่ามันไม่มีไง แต่นี้มันไม่ใช่ คำว่าจิตดับ มันดับจากอารมณ์ความรู้สึก สัญญาอารมณ์ไง บอกว่าที่ไหนมีจิตที่นั้นมีอารมณ์ ถ้าอารมณ์มันไม่มีก็อยู่ที่จิตใช่ไหม จิตมันก็อยู่ในตัวมันเองใช่ไหม มันดับไปไหน มันดับสัญญาอารมณ์ ดับถึงความรับรู้ขันธ์ ดับทุกขเวทนาไง
เวลาท่านพิจารณาเวทนาเห็นไหม พิจารณาเวทนา พิจารณาตลอดรุ่งเห็นไหม ท่านบอกว่า พิจารณานะ มันดับหมดเลย เวทนาเป็นสักแต่ว่าเวทนา เวทนาเป็นเวทนาจริงใช่ไหม กายเป็นกายจริง เวทนาเป็นเวทนาจริง จิตเป็นจิตจริง มันปล่อยหมด แล้วบอกว่า คำว่าดับ คือดับจากทุกข์ ดับจากทุกข์ ดับจากเวทนา ดับจากความรู้สึก แต่มันทรงตัวในตัวมันเอง ไม่ใช่ว่าจิตดับเหมือนกับเราจุดไฟแล้วก็ดับไฟ ไม่มีเลย ไม่ใช่ จิตมันดับเพราะธรรมชาติของเรา เรารับรู้ถึงลม เดี๋ยวลมพัดมาเห็นไหม เย็นไหม อย่างนี้เราก็รู้ แต่ถ้าจิตมันดับหมดนะ มันก็รู้ของตัวมันเอง ลมพัดไปก็ไปสิ มันไม่รับรู้ไง
นี่ โธ่ เขาเขียนว่าจิตดับ เรารู้เลยนะว่าจิตดับไม่มี หมายถึงอะไร เราถึงออกมาเสียงดังนี่ไง เสียงดังเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาทิ่มแทงอยู่ทุกวัน เขาทิ่มแทงออกมาด้วยทางตำราของเขาอยู่ทุกวัน อันใดที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของพระกรรมฐาน สิ่งนี้ไม่มีอยู่จริง แล้วสิ่งที่ไม่มีจริงนะ ปัญญาเกิดเองอย่างนี้ สมาธิเกิดเองอย่างนี้ เอ้า แก่นธรรมของหลวงปู่ดูลย์ เอามาเปิดดู ทุกหน้าเลย สัมมาสมาธิ มันเกิดเอง คำๆนี้นะมันเป็นไปไม่ได้ อย่างนี้คือไม่มีอยู่จริงๆ เวลาของที่ไม่มีอยู่จริงนะ เขาเอามาเขียน เอามาอธิบาย เวลาของที่มีอยู่จริง เขาบอกของอย่างนี้ไม่มีอยู่จริง ดูสิ นี้คือปัญญาไง นี้คือข้อเท็จจริงในใจเขาที่มันตรงข้ามหมดไง พอมันตรงข้ามหมด แล้วเอาฝั่งที่ตรงข้ามเพราะอะไร เพราะเขาพูดออกมาอย่างนี้ เขาพูดออกมาใช่ไหม แล้วเขียนเป็นหนังสือใช่ไหม ลูกศิษย์ลูกหา โอ้โหย หูตั้งไปหมด อู้หูย สุดยอดเลย สุดยอด สุดยอดใช่ไหม แล้วเราไปล้มตรงนั้น
เดี๋ยว เดี๋ยวธรรมะเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือวัฏฏะ ทิ่มเข้ากลางหัวอกเลย เพราะอะไร เพราะธรรมะเป็นธรรมดาไง ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมะนิพพานไง ธรรมดา ธรรมดาวิมุตติไง เดี๋ยวกูจะทิ่มเข้าหัวอกมึง กำลังไปพิมพ์อยู่ เดี๋ยวจะแจก เพราะอะไร ถ้าธรรมะเป็นธรรมดา ธรรมดาไง ธรรมดาวิมุตติไง ไม่มีหรอก แล้วเขาจะว่าเราโจมตีใคร เราไปโจมตีใคร เราไม่ได้โจมตีใครจริงๆนะ เราอยากให้คนเป็นคนดี อยากให้คนปฏิบัติมันเข้าถึงเหตุถึงผล เข้าถึงแล้วสัมผัสได้ เวลาเราบอกนะ ถ้าบอกอ้างว่า วิทยาศาสตร์ๆผิดหมดเลยเพราะเขาอ้างใช่ไหม แต่เวลาพูดล่ะ มันมีเหตุมีผลนะ มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันเป็นการพิสูจน์ได้ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้พระโสดาบันทำไมพระโสดาบันเข้าใจ พระโสดาบันกับพระโสดาบันนี้คุยกันรู้เรื่องนะ มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้เลยล่ะ จับต้องได้เห็นไหม แล้วของเขาเป็นวิทยาศาสตร์
ที่ลูกศิษย์เขามาบอกที่เราบอกว่า จิตเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เขาบอกไม่ได้ จิตเป็นรูปไม่ได้ จิตเป็นรูปไม่ได้ เราก็ยกเลย ยกว่า พระพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตรที่เขาคิชกูฏ ถ้าเธอไม่พอใจ... ไม่พอใจใครๆ คือไม่พอใจพระพุทธเจ้าแต่ไม่กล้าพูดไง พระพุทธเจ้าบอกถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกเห็นไหม จิตเป็นรูป ความคิดเป็นนามเห็นไหม จิตเป็นขันธ์ จิตเป็นขันธ์ สัญญาอารมณ์ต่างหาก สัญญาอารมณ์ที่มันส่งออก ท่านบอกว่าถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆทั้งหมด เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง วัตถุ จิตเป็นรูป วัตถุนี้เป็นสิ่งกระทบจับต้องได้ไหม วัตถุ วัตถุ ถ้าจิตมันละเอียด มันเห็นมันจับได้ ถ้าคนจะเห็นอย่างนี้ได้มันต้องแบบว่า พิจารณาแบบพระสารีบุตรไง พระสารีบุตรเห็นไหม เพราะการเทศน์นี้ พระพุทธเจ้าอยากจะเทศน์สอนพระสารีบุตร
ทีนี้พระสารีบุตรเป็นคนที่มีปัญญามาก ถ้ามีปัญญามากถ้าไปสอนพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะจับไปแยกแยะอีก เสียเวลา ทีนี้ พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์หลานพระสารีบุตร พระสารีบุตรยืนอยู่ข้างหลังไง ยืนพัดพระพุทธเจ้าอยู่ไง พระสารีบุตรยืนพัดพระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าพูดกับหลานพระสารีบุตร มันแคนนอนไปหาพระสารีบุตรไง พระสารีบุตรฟังอยู่นะ พัดๆพระพุทธเจ้าอยู่ พัดๆๆไป ปิ๊ง เป็นพระอรหันต์เลย เป็นพระอรหันต์เพราะคำนี้ คำที่บนเขาคิชกูฏในถ้ำสุกรขาตา เทศน์สอนหลานพระสารีบุตร ทีนี้คนที่จะรู้อย่างนี้ได้ คนที่จะมีปัญญาอย่างนี้ได้เห็นไหม ดูสิ เช่นพระสารีบุตร เช่นพระที่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ไปถามปัญหาแล้วฝนตกเห็นไหม เป็นน้ำ ที่เป็นต่อม เพราะอะไร เพราะจิตมันพร้อม พอจิตมันพร้อมจิตมันก็กำลังคัดเลือก กำลังเลือกหาอยู่ พอมีใครชี้ประเด็นปั๊บ ปิ๊ง มันพร้อมของมันอยู่ข้างใน นี้ก็เหมือนกัน เห็นไหม ในเมื่อเธอไม่พอใจในสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึกของเธอด้วย เพราะอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง ขนาดอารมณ์ยังเป็นวัตถุอันหนึ่งแล้วจิตล่ะ จิตเป็นรูป ความคิดเป็นนาม เขาบอกว่าเป็นรูปไม่ได้ จิตเป็นรูปไม่ได้ จิตเป็นรูปไม่ได้เพราะมันเป็นนามธรรม รูปมันเป็นมหาภูตรูป ๒๔ จิตมันเป็นรูปได้ยังไง ถ้าจิตเป็นรูปเดี๋ยวหลวงพ่อตายเลยนะ เดี๋ยวอภิธรรมเขาอัดหลวงพ่อตายห่าเลยนะ กูบอกให้มันมาสิ ให้มันมา มันจำแต่ชื่อ
เขาบอกว่าในถ้ำนี้มีผี มันบอกว่าในถ้ำนี้มีผีแต่มันไม่เคยเห็นผีนะ แต่กูจับผีมาใส่หม้อถ่วงน้ำนะ มันไม่เห็นนะ มันไม่เห็นมันไม่รู้หรอก ทีนี้ที่นี่มีผีนะ โอ้โหย กลัวมากเลย มีผีๆ อู๋ย กูนอนอยู่ในนั้นกูนอนอยู่กับผีเลยนะ ผีเป็นเพื่อนกูนู่น ไปกลัวอะไรกับผี มันก็ตื่นเต้นไง นี่พูดถึงว่า คนไม่รู้ไม่เห็น
แล้วย้อนกลับมาที่เขาอธิบาย ที่บอกว่าละเอียดมากๆ ในเมื่อเขาตีความพุทธศาสนา เขาตีความธรรมะ ทำไมเขาจะไม่ละเอียด เขาตีความธรรมะ ธรรมดาเรานั่งกันอยู่นี่ ทุกคนมองมาหาเราสิ ดูบนหัวเราสิ ถ้านกมันขี้อยู่ โอ้โห หลวงพ่อ ในหัว ขี้สองกองสามกอง ขี้นกทั้งนั้นเลย แล้วขี้นกบนหัวมึงทำไมไม่ดูล่ะ บนหัวมึงขี้มากกว่าบนหัวกูอีก คือความผิดคนอื่น เห็นกันชัดๆทั้งนั้น ความผิดตัวเองมองไม่เห็น ถ้าความผิดคนอื่นเห็นชัดเจนเลยนะ
เวลาเขียน โอ้โห คนโน้นผิดอย่างนี้คนนี้ผิดอย่างนั้น โอ้โห ชัดเจนไปหมดเลย แล้วตัวเองล่ะ ว่าแต่เขานะ เราเห็นเยอะมากเลยนะ ว่าคนโน้นผิดอย่างนี้ ตัวเองทำหมดเลย อย่างเช่นสมาธิเกิดเองปัญญาเกิดเอง นี่มันเกิดไม่ได้ แล้วเวลาไปพูดนะ ดูถูกฤๅษีชีไพรนะ ฤๅษีชีไพรไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ตัวเองมีปัญญามาก แต่ดันปัญญาเกิดเอง ฤๅษีชีไพรเขายังซื่อสัตย์ ในเมื่อเขาเป็นสมาธิเขาก็ยอมรับว่าเป็นสมาธิ ไอ้นี่บอก ปัญญาเกิดเอง ไปขี้โกงไง ทุจริตมดเท็จยิ่งกว่าฤๅษีชีไพร ถ้ามึงไม่มีปัญญาก็บอกไม่มีปัญญาสิ แต่มาบอกปัญญาเกิดเอง ปัญญาเกิดเองได้ยังไง เห็นไหมที่เราบอกว่าทำสมาธิแล้วปัญญาจะเกิดเอง พวกเราก็รับไม่ได้ แต่นี่เขาบอกว่าปัญญาเกิดเองทำไมลูกศิษย์เขาเชื่อล่ะ ปัญญาจะเกิดเองนะ เป็นถิรสัญญา สัญญาเนี่ยจำไปเรื่อยๆ จำสภาวธรรมนะ เป็นจดจำจำให้ชัดเจนนะ แล้วเดี๋ยวมันจะเกิดปัญญาขึ้นเอง เวรกรรม
แล้วอย่างนี้กูโจมตีอีกหรือเปล่าล่ะ กูโจมตีอีกแล้วสิ กูโจมตีเขาอีกแล้ว ถ้าโจมตี มึงเผยแผ่ออกมาทำไม ในเมื่อเผยแผ่ออกมา เราเห็นข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด เราโต้แย้ง เราไปโจมตีใคร เราโต้แย้งไง เราโต้แย้งกลับ ว่าสิ่งที่เอ็งเผยแผ่ออกมา มันไม่มีมูล เวลาฟ้องศาล ศาลจะไต่สวนมูลฟ้อง มันไม่มีมูล ธรรมะของมึง ไม่มีเนื้อหาสาระ มันไม่มีเนื้อหาสาระ แล้วอย่าลาก อย่าลากหลวงตาว่าหลวงตาก็ดูจิต อย่าลาก เพราะหลวงตาท่านเป็นธรรมเป็นอันเอก หัวใจท่านธรรมทั้งแท่ง มึงอย่าลากมาเป็นแบ็คของมึง อ้างแต่คนที่ตายแล้ว อ้างหลวงปู่สิม อ้างหลวงปู่ดูลย์ แต่ไม่อ้างหลวงตานะ เพียงแต่ว่าหลวงตายอมรับ ไม่อ้างหลวงตานะ
แล้วตอนนี้จะบอกว่า คนที่โจมตีนี่โดนหลวงตาไล่ด้วย มันไร้สาระสิ้นดี มันไร้สาระที่ไหน มันไร้สาระว่าหลวงตาไล่แล้วทำไมหลวงตาท่านไปเยี่ยมอยู่ตลอดเวลา หลวงตาลงมาที่กรุงเทพ มาหาเราทุกที ใจถึงใจ ได้ยินไหม ได้ยินไหม ไล่เหรอ ไล่ทำไมพูดอย่างนั้น เนื้อหาสาระข้อเท็จจริงในสังคมมันมีอยู่ เอ็งจะพูดอะไรบิดเบือนนะ บิดข้อเท็จจริง เอ็งไม่ละอายใจตัวเองเลยเหรอ เอ็งพูดมามีเหตุผลสิ่งใดรองรับคำพูดของเอ็ง แล้วเราพูดเนี่ย เราไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกนะ แต่เราพูดด้วยหลักฐานข้อเท็จจริง เราพูดด้วยหลักฐานข้อเท็จจริงในการประพฤติปฏิบัติก็ให้เขาโต้แย้งมาตามข้อเท็จจริงสิ ในเมื่อเราเป็นพระใช่ไหม เราเป็นพระเรามีศีลมีธรรมใช่ไหม อะไรที่มันถูกมันผิดเราก็คุยกันไปตามข้อเท็จจริงนั้น
แล้วดูสิ ถ้ามีข้อเท็จจริงนั้นแล้วเราตะแบงตามข้อเท็จจริงนั้น ถึงจะบอกว่าเราเป็นคนชั่ว ไอ้นี้ สิ่งที่เขาพูดออกมา เราพูดตามข้อเท็จจริงที่เขาแสดงออกมา เราเพ้อเจ้อเหรอ เราไปกล่าวตู่ตรงไหน เราไปจับผิดอะไรกับเขาตรงไหน ก็เขาเอาหนังสือมาแจกแล้วก็ส่งมาที่วัด หนังสือเขาส่งมาบ่อยนะ พระในสมาชิกของไอ้วิมุตติอะไรนั่น ส่งมาให้เราเป็นชุดๆเลย เขาไม่ให้เราพูดแล้วส่งหนังสือมาให้เราอ่านทำไมอะ เขาส่งหนังสือมาให้เราอ่าน เราอ่านหนังสือเราแล้วเรามีความเห็นยังไงเราก็พูดอยู่แล้วเราผิดตรงไหนล่ะ นี่เราพูดกันแบบ เราเป็นคนแบบว่าเรามีเหตุมีผลนะ พูดมีเหตุมีผล แต่วันนี้ที่พูดเราจะพูดให้ชัดเจนเพราะว่าลูกศิษย์เขานั่นแหละ และเขาแบบว่าเขาเห็นผิดแล้วเขาก็มาหาเราด้วย แล้วเขาบอกว่า ตอนนี้ในปัจจุบันนี้ เขาอ้างว่าหลวงตาก็เคยดูจิตมา แล้วพระสงบก็พูดถึงหลวงตาเรื่องดูจิตเหมือนกัน แล้วเราก็พูดดูจิตด้วย
ฉะนั้น คำว่าดูจิต มันเป็นเส้นทางๆ หนึ่งที่หลวงตาก็เคยเดิน พระสงบก็พูดถึงอยู่ ฉะนั้นมันไม่ผิดหรอก แต่นี้อ้างอย่างนี้เลย ตอนนี้กำลังอ้างอย่างนี้กันอยู่ เขาถึงมาหาเราบอกว่าหลวงพ่อ ให้พูดชัดๆ ให้พูดชัดๆ เราถึงพูดไว้ชัดๆว่าที่หลวงตาทำ ตอนที่หลวงตาทำ ตอนนั้นหลวงตายังไม่ได้ไปพบหลวงปู่มั่น ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติใหม่ มันก็มีความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอมีความผิดพลาดแล้ว ท่านถึงบอกว่าความผิดพลาดนี้ท่านต้องหาทางแก้ไข พอแก้ไขแล้วท่านถึงบอกว่าเรา ทุกข์มา ปีกับหกเดือน ทุกข์อย่างใดที่จะทุกข์มากเท่าตอนจิตเสื่อมนี้ไม่มี จิตเสื่อมนี้เพราะดูจิต จิตเสื่อมนี้เพราะท่านเอาจิตของท่านไปอยู่กับผู้รู้ไง ดูจิต ท่านบอกจิตของท่านเสื่อม เสื่อมเพราะว่าท่านดูจิตเฉยๆไม่มีคำบริกรรม ถึงมาหาคำบริกรรม
ทีนี้พวกเรานี่มีคำบริกรรม พุทโธๆมีคำบริกรรม เหมือนเด็กเวลาหัดเดิน มันต้องมีสิ่งใดเกาะไปเพื่อหัดให้มันเดินได้ เขาก็พูดเหมือนกัน ดูจิตก็คือเหมือนกัน เกาะเหมือนกันแต่อีกคนหนึ่งเขาเกาะไม้เดินนะ ไม่ใช่เกาะลม เห็นก็เขาไม้มาให้เด็กเดิน มึงก็บอกว่ากูก็ทำแล้วให้เด็กมาเดิน เด็กมึงคลานอยู่นั่น เด็กมึงยังไม่ได้เกาะ คือคำว่าเกาะ คำพูดใครก็พูดได้ คำพูด คำอ้างอิง ทุกคนอ้างอิงได้เหมือนกัน แต่เราคิดจินตนาการสิว่า มันมีเหตุมีผลควรเชื่อได้หรือไม่ เวลาจะฟ้องศาล เขาต้องไต่สวนมูลฟ้องว่ามันมีมูลความผิดไหม ถ้ามีมูลฟ้องเขาถึงรับฟ้อง ไอ้นี้ครูบาอาจารย์ท่าน ครูบาอาจารย์เวลาท่านพูดมันมีเหตุมีผล ไอ้เขาก็พูดคล้ายๆทุกทีเลย แล้วปัจจุบัน เราดูหนังสือเขาแล้วที่เราไม่พอใจที่สุดเลยไม่พอใจอย่างมากๆ เขาบอกว่า
พุทโธโง่เง่า
พุทโธไอ้พวกหลงพุทโธ
พุทโธตัวแข็ง
สังคมไทยชั่วช้าเพราะพุทโธ
เรารับตรงนี้ไม่ได้! เรารับตรงนี้ไม่ได้ตรงที่บอกว่า พุทโธนี้หลงกันมานาน ใช้การกำหนดพุทโธ พุทโธ ทำให้สังคมนี้เสียหาย พุทโธนี้ทำให้คนไปจมปลักอยู่กับสมถะ เรารับตรงนี้ไม่ได้ ที่เราไม่เห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น แล้วพอมาในปัจจุบันนี้เรารู้เราเห็นว่า มันเป็นธรรมดาของกิเลส เราเข้าใจเรื่องกิเลสดีนะ
อย่างเช่นพระองค์หนึ่งองค์ไหนก็ได้ จะยกตัวเราไม่ได้เดี๋ยวจะหาว่าอะไรก็เราหมดนะ อย่างเช่นพระองค์หนึ่งไม่มีใครรู้จักก็อยากให้คนรู้จัก ถ้าอยากให้รู้จักก็จะอ้างหลวงตาทันทีเลยว่าเป็นลูกศิษย์หลวงตา หลวงตาให้ออกมาช่วยโลก หลวงตาให้มาเผยแผ่ พอหลวงตาให้เผยแผ่ปั๊บ พอมีคนมาเชื่อถือศรัทธานะ จะเริ่มเหยียบหลวงตาแล้ว กูเก่งกว่าหลวงตานะ หลวงตามีความรู้น้อยกว่ากูนะ กิเลสมันเป็นอย่างนี้ทุกที
นี่ก็เหมือนกันเห็นไหม จิตดับไม่มี เวทนาดับไม่มี อะไรดับไม่มี ทีแรกออกมาเห็นไหม นี่ไง หลวงตารับประกัน นี่ก็เหมือนกันหลวงตารับประกันเหมือนกัน ไปหาหลวงตาแล้วหลวงตารับประกัน ตอนนี้จะบอกว่าหลวงตาผิดแล้วนะ แต่ยังไม่เอ่ยชื่อตรงๆ ไม่เอ่ยชื่อตรงๆ กิเลสของคนเป็นอย่างนี้ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้ เราเข้าใจเรื่องธรรมชาติของกิเลสดี แล้วเราเห็นพฤติกรรมเรารู้เลยว่ามันจะมาลงร่องนี้ไง มันถึงเสียงดังขึ้นมา พูดถึงนะ อย่างที่ว่าใครที่ออกมาต่อต้านเรื่องนี้ หลวงตาไล่ออกจากวัดแล้ว มันก็เหมือนเรื่องสังฆราชเมื่อก่อน ที่เราออกไปขวางเขา ไอ้เราก็ชั่วเหมือนกัน ตอนนั้นก็ชั่ว ชั่วสุดๆเลย ตอนเรื่องสังฆราชไม่มีใครออกมายุ่งเลยนะ มีเรา แม่งบ้าอยู่คนเดียวนะ ชั่ว ชั่ว ชั่วจน อันนี้จะเข้ารอบสอง นี่วัฏจักรมันมาอีกแล้ว วัฏจักรความชั่วไอ้หงบจะเกิดอีกแล้ว เอ้า เขาทำกันเองแล้วเราไปขวาง เราไปขวางเขาเอง อันนี้ก็เหมือนกัน เหมือนกับครั้งนั้นเลย ครั้งนั้นก็นี่ไง ธรรมชาติของกิเลสไง จะทำการแทนหลวงตา จะควบคุมหมดเลย แล้วหลวงตาท่านก็เห็นไหม นี่ไง ธรรมย่อมชนะอธรรม ท่านเฉยของท่านนะ แล้วพวกนั้นมันแพ้ภัยตัวมันเองไป แต่เรามันทนไม่ไหว เราออกมาเคลื่อนไหว
กรณีนี้ก็เหมือนกัน กรณีที่พูดนี้ก็เริ่มจาก สิ่งที่ไม่พอใจที่สุดก็คือบอกว่า พุทโธโง่เง่า พุทโธทำให้ตัวแข็ง พุทโธทำให้สังคมเสื่อมเสีย ทำให้ชาวพุทธปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล พุทโธทำให้คนหลงใหล อันนี้ มันรับไม่ได้ เอ็งทำแล้วบ้างหรือยัง เอ็งได้ปฏิบัติแล้วบ้างหรือยัง แล้วมาตอนหลังๆเห็นมันเขียนหนังสือออกมา เรารู้ มันเริ่มทิ่มแล้ว เริ่มทิ่มเริ่มแทง เพราะเมื่อก่อนเรื่องจิต สมาธิเกิดเอง ปัญญาเกิดเอง จะไม่เขียนออกมาเลย จะเก็บไว้ลิบลับเลย จะซ่อนไว้ข้างในเลยนะ พูดธรรมะของพระพุทธเจ้า พูดอภิธรรมไง อารมณ์เป็นอย่างนั้น อะไรนะ สังขารุเบกขาญาณ โคตรภูญาณ ญาณ ๑๖ แต่ซ่อนไว้นะ ซ่อนปัญญาเกิดเอง สมาธิเกิดเอง ซ่อนไว้ข้างหลังนะ สังขารุเบกขาญาณเลยนะ อารมณ์อย่างนี้จะเป็นอารมณ์อุเบกขานะ โอ๋ อุเบกขานี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์นะ องค์ของอารมณ์พระอรหันต์ต้องเป็นอารมณ์อุเบกขานะ ส้นตีน!
อุเบกขามันก็เป็นอุเบกขาเว้ย อุเบกขามันก็มีสุขมีทุกข์เว้ย เห็นไหม อุเบกขามันเวทนา ๓ ไง สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา มันเวทนา ๓ มันอัพยากฤต อัพยากฤตก็คืออุเบกขา แล้วอารมณ์พระอรหันต์อะไร อารมณ์หัวตออย่างนั้นคืออารมณ์พระอรหันต์เหรอ อุเบกขาคืออารมณ์หัวตอไง อารมณ์เฉยอยู่มันจะลงสุขกับทุกข์ อารมณ์พระอรหันต์เป็นหัวตออย่างนั้นเหรอ แหม ซ่อนไว้ ซ่อนปัญญาเกิดเองไว้ ซ่อนสมาธิเกิดเองไว้นะ โอ๋ พิจารณาไปนะ ดูจิตไปนะ ดูจิตไปมันจะเกิดสัมมาสมาธิ พอเวลามันนานไปๆ ความลับ อุดมคติ ความรู้ความเห็นของมันก็คลายออกมา พอคลายออกมาเห็นไหม ดูจิตไปนะ ดูจิตไปโดยสติรู้ตัวทั่วพร้อม สติไม่มีแล้วสติอะไรรู้ตัวทั่วพร้อมล่ะ ดูไปๆ ดูสิ มองมาที่เรานะ มองดีๆนะ มองดีๆเดี๋ยวก็นั่งง่วงนอนหมด มองเรานะ มองมาที่นี่นะ เพ่งดีๆนะ เพ่งๆขึ้นมาเดี๋ยวก็นั่งหลับหมด นี่ไง ดูจิตไปนะ ดูจิตไปนะ แล้วดูไปนะ อย่าฝืนนะ อย่าดื้ออย่าดึงกับมันนะ แล้วพอถึงเวลา มันจะลงสมาธินะ มันจะต้องไม่เจาะจง ถ้าเจาะจงผิด เจาะจงคือสติ
เนี่ยเวลามันเปิดออกมา เมื่อก่อนเขาซ่อนไว้ เพราะเขาไม่แน่ใจ แต่พอสร้างฐานขึ้นมาด้วยอภิธรรม ด้วยวิจารณ์ด้วยวิเคราะห์วิจัยธรรมพระพุทธเจ้าจนฐานแน่น จนคิดว่าคำพูดนี้... เหมือนกับเรา หลงตัวเองไง พอหลงตัวเอง มีฐานใช่ไหม มีคนเชื่อถือศรัทธามาก มันพูดอะไรคนก็เชื่อใช่ไหม อย่างเราไม่มีใครรู้จักพูดอะไรออกมาก็ไม่ฟัง แล้วไปหาหมานะ เราพูดให้หมา หมามันวิ่งหนีหมดเลยเพราะหมามันไม่ฟัง แต่พอมีคนศรัทธาเชื่อถือนะ มันจูงหมามาด้วย อย่างพวกนี้ศรัทธาเรามากเลย เวลามาฟังก็จูงหมามาคนละตัว คนก็ฟัง หมาก็ฟัง พอคนก็ฟัง หมาก็ฟังนะ เขาฟังกูแล้วมันลืมตัวนะ พอมันลืมตัวไง สมาธินะ มันจะเกิดเอง ดูจิตไปๆนะ โดยไม่เจาะจง ไม่เจาะจงนะมันจะลงเป็นสัมมาสมาธิเพราะความไม่เจาะจง ถ้าความเจาะจงนั้นไม่ใช่ ความเจาะจงคือสติ อย่างพวกเราลงสมาธินะ พุทโธๆๆนะ โอ้โห มันลงนี้ สตินี้พร้อมมากนะ สตินะ ถ้ามันกระเพื่อมนะ มันจะไหว พอกระเพื่อม หลวงตาบอกว่า พอกระเพื่อม จิตมันมีอาการกระเพื่อม มันจะถอน ถ้าเรามีสติเราพร้อม สติมันจะดีมาก พุทโธๆ มันจะลงนะ มันจะลงนิ่มนวลมาก สติพร้อมตลอดเวลานะ สตินี้ดีมากๆเลย
ถ้าสติไม่ดีนะ มันบังคับ มันควบคุมจิตนี้ลงไม่ได้ ดูเขาขับยานอวกาศสิ กระสวยอวกาศออกนอกโลก เขาใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมขนาดไหน จิตเวลามันจะลง สติมันจะดีมาก แล้วขณะที่มาพุทโธใหม่ๆนะ มันจะลง เหมือนการขับกระสวยอวกาศ นักบินอวกาศทุกคนต้องมีการฝึก นักบินอวกาศทุกคนไม่ฝึกไปอวกาศไม่ได้ จิตที่มันจะไปลงสมาธินี่ มันมีความผิดพลาดของมัน มีการฝึกฝนของมัน มันกำหนดพุทโธๆของมัน ดูสิ ขนาดว่า กระแสแรงลม แรงโน้มถ่วง มันจะลงได้ยังไง มันลงไง มันมีความชำนาญของมันเห็นไหม พอมันชำนาญของมันมีสติพร้อมมันกำหนดพุทโธๆ เวลามันจะลงนะ มันจะลงของมัน ถ้ามันสะดุดปั๊ป มันถอนทันที ถ้ามันสะดุดมันเป็นอะไรนะ จิตกระเพื่อม มันจะไหว จิตไหวก็ออกเลย ไม่มีเข้า จิตไหวไม่มีเข้า แล้วถ้าจิตมันดีสติมันดี นี่ไง นี่เจาะจงนะ พอมันเจาะจงแล้วมันรู้ตลอดนะเพราะมันฝึกไง มันฝึกแล้วมันรู้ของมัน สติมันพร้อม มันลง พุทโธๆๆๆ โอ้โห มันละเอียด มันลงขนาด อื้อหืม มัน มัน จนถึงฐานเลย เอ๊อะ เอออออ พักอยู่หลายชั่วโมง ค่อยคลายตัวออก
ไอ้นี่บอกว่าถ้าเจาะจงเป็นมิจฉา ต้องไม่เจาะจง ไม่เจาะจงก็นอนหลับไง ไม่เจาะจงก็ตกเหวนะ ไม่มีหรอก ไม่มี ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นมิจฉาสมาธิไม่ใช่สัมมา นี่ไง ๆ ดูไปๆ ดูไปพอมันจะลงนะ มันจะลงโดยความไม่เจาะจงนะ พอลงไปแล้วจะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิจะเกิดที่ไหน จะเกิดบนจิต กลัวว่า สัมมาสมาธิจะไม่เป็นความจริงไง สัมมาสมาธิจะไปเกิดบนจิตอีก โฮ่ เวรกรรม เวรชิบหาย ไอ้หงบมันเถียง มันเถียงตรงนี้ เถียงตรงที่มึงซ่อนไว้ตั้งนาน แล้วตอนนี้มึงเปิดออกมาแล้ว พอเปิดออกมาแล้วมันเปิดถึงหัวใจ เปิดถึงกึ๋นเลยว่า กึ๋นมึงเน่า กึ๋นมึงไม่มี ถ้าจะเถียงอะไรก็มา
วันนี้พูดชัดเจน เขาให้พูดนี้ชัดเจน พูดให้ชัดเจนว่า เขาจะได้ไปอ้างถึงว่าหลวงตาหรือพระสงบ เอ้า ด่าน่าดูเลยล่ะ เมื่อก่อน รถตู้นี่มาเต็มเลยล่ะ โอ๋ หลวงพ่อกับอาจารย์เขา เหมือนกันเปี๊ยะเลย เหมือนกันเปี๊ยะเลย แล้วเหมือนกันเปี๊ยะทำไมวันนี้ว่ากูไม่เหมือนล่ะ เมื่อก่อนกูบอกว่าไม่เหมือนมึงบอกว่าเหมือน ตอนนี้กู บอกว่าเหมือนมึงบอกว่าไม่เหมือน มึงว่ากู......ละ แต่ถ้ามันมาเมื่อก่อน กูบอกว่ากูเหมือนมึงล่ะ ใครมาก็ หลวงพ่อ เหมือนกันเปี๊ยะ เหมือนกันเปี๊ยะ หลวงพ่อ พูดเหมือนกันเลย เหมือนกับอาจารย์เขาเลย เหมือนกันไปหมดเลย แล้วตอนนี้ทำไมไม่เหมือนล่ะ ไม่เหมือนเพราะลากไส้มึงไง เอาไส้มึงออกมากอง มันก็เลยไม่เหมือนใช่ไหม ถ้าไม่ลากไส้มึงออกมามันก็เหมือนสิ แล้วไส้เรานี่ ให้เอ็งลากเลย
ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ เขามีสิทธิที่จะวิจารณ์คำพูดเราได้ เราก็มีสิทธิที่จะวิจารณ์คำสอนเขาได้ เพราะคำสอนถ้าไม่มีสิทธิวิจารณ์เอ็งส่งมาให้ข้าทำไม เสียดายเราเผาทิ้งแล้วนั่น ไม่งั้นจะเอาเป็นหลักฐานมาให้ดู หนังสือส่งมาทำไม แล้วส่งมาให้เราอ่านแล้วเรามีความเห็นไม่ได้เหรอ ก็เอ็งส่งมา ส่งมาจากพระ พระเขาส่งมา ลูกศิษย์เขาส่งมา เราก็มีสิทธิ์วิจารณ์เขา เขาก็มีสิทธิ์วิจารณ์เรา
เราถึงบอกว่าไม่เหมือนหรอก สิ่งใดก็ไม่เหมือน แล้วอย่างที่ว่านะ ดูจิต ไม่ใช่ เพราะเราลงกับหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์บอกว่าคิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด ความหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เราตีความเลย คำพูดคำนี้ท่านพูดออกมาเหมือนหลวงตา คือเป็นปัญญาอบรมสมาธิ คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด การใช้ความคิดนี้คือปัญญาอบรมสมาธิ คิดเท่าไหร่ก็ไม่รู้นี้คือโลก คือคิดไปตามสามัญสำนึก ต้องหยุดมัน แต่หยุดไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ปัญญาหยุดไม่ได้ ถ้าเพ่งอยู่มันหยุดไม่ได้ นี่ของเขาเพ่งอยู่เขาเดินตามไป เขาตามของเขาไป แล้วตามเขาไปแล้ว
ตามไปมันไม่มีเหตุมีผลใช่ไหม มันก็เลยต้องลงของมันเอง สมาธิก็เป็นเอง ปัญญาก็เป็นเอง แล้วถ้าใครเถียง เอาหนังสือมายืนยันเดี๋ยวนี้เลย แล้วจะบอกว่าไม่ได้เขียนอีกสิ พอยืนยันก็บอกว่า อือ สงสัยมันละเมอ ก็เลยเขียนไปอย่างนั้น ตอนนี้ได้สติแล้วอยากจะแก้ ตอนเขียนไปมันละเมอ มันขาดสติไปหน่อยก็เลยเขียนพลาดไป แล้วตอนนี้จะแก้นะ มันแก้อย่างนี้มาเป็นสิบๆหนแล้วเราเห็นมาตลอด เราถึงบอกว่า เราเข้าใจว่าคนไม่จริงใจไง ถ้าคนจริงใจนะ เวลาผิดยอมรับว่าผิด นี่อริยะประเพณี หลวงตาดูจิตท่านก็ผิดมาแล้วปีกับหกเดือน ท่านทุกข์มาก เราก็มีความผิดพลาดนะ ผิดเยอะมาก ไปหาหลวงปู่จวน
อวิชชาอย่างหยาบมึงสงบตัวลง อวิชชาอย่างกลางมึงไม่เห็นมันหรอก อวิชชาอย่างละเอียดในใจมึงยังอีกเต็มหัวใจเลย
อื้อหือ มันทิ่มหัวใจเลย มันทิ่มเข้ากลางอกเลย อื่ออ จริงๆ เถียงไม่ขึ้น มันก็เลยมุมานะทำมา ไม่งั้นมันละล้าละลัง ไปก็ไปไม่ได้ ถอยก็ไม่ถอย ละล้าละลังนะ ห่วงหน้าพะวงหลังจะไปไหน ก็ไปไม่ถูก ทำไปข้างหน้าก็ไปไม่เป็น ถอยหลังรึมันก็ถอยไม่ได้ อู๋ย ห่วงหน้าพะวงหลัง ทุกข์น่าดูเลยนะ พอไปเจอหลวงปู่จวนทุบหัวทีเดียวเท่านั้น ปลาช่อนนะมันดิ้นพราดๆ เออ ใช่ๆๆ มันทุบหัวกิเลส ดิ้นเลย พอโดนไม้ทุบหัวทีเดียวเท่านั้น ไปไหนไม่รอด ใช่ นี่ พระป่า นี่กรรมฐานที่เขามีคุณธรรม เขาพูดกันคำสองคำเขาไม่ต้องเยิ่นเย้อ เหมือนปลาช่อนโดนทุบหัวเลยล่ะ ไปไม่รอดหรอก ถ้ากูทุบครั้งที่สองมึงตายนะ ทุบครั้งแรกให้มึงรู้สึกตัวนะ ถ้ามึงไม่เชื่อเดี๋ยวกูทุบครั้งที่สอง เอาไปย่างเลยล่ะ นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้
ฉะนั้นถึงบอกว่า ไม่เหมือน ไม่เหมือน เขาให้พูดบอกว่าไม่ให้เหมือน เพราะเขาไปอ้างว่าเหมือน เวลาข้างบนอ้างว่าเหมือน ข้างล่างล่ะด่ากู ไม่รู้ ไม่รู้กูจะทำตัวยังไง ทำตัวไม่ถูกเลยตอนนี้ จะทำตัวให้เป็นคนดีทำตัวยากมาก แต่ทำตัวให้เหมือนเขาให้เป็นพวกเขานี้ทำไม่ได้เลย ไม่ได้ อันนี้ถึงบอกว่าการดูจิตไง มันดูจิตเพราะหลวงตาเคยดูจิต ดูจิตแล้วผิดเป็นการพิสูจน์ พิสูจน์การดูจิตไง เขาบอกว่า อ้างว่าหลวงตาก็ดูจิต เราก็ดูจิต ไม่ใช่ การดู เป็นการพิสูจน์ พิสูจน์แล้วเห็นผิดแล้ว แล้วทิ้งแล้ว ไม่ใช่ว่าสิ่งที่ทำแล้วเหมือน เคยทำเหมือนแล้วจะว่าเหมือนกันเราทำได้ มันเหมือนเราที่ว่า ทางการแพทย์เขาพิสูจน์แล้วเห็นไหมว่ายาเสพติดมันไม่ดี แล้วเราต้องไปพิสูจน์อีกไหม เราต้องลองยาเสพติดจนสุดท้ายแล้วเราค่อยมาเข้าใจใช่ไหม นี่เหมือนกัน หลวงตา ครูบาอาจารย์ ท่านลองแล้วท่านพิสูจน์แล้ว พิสูจน์การดูจิตแล้วว่า ไม่ใช่ทางที่จะประพฤติปฏิบัติ พุทโธๆเป็นทางที่เราควรปฏิบัติ พุทโธๆเป็นคำบริกรรม มันจะยาก มันจะง่าย ยากจริงๆ พุทโธนี้ยากมาก มันจะเครียด มันจะทำให้เราทำได้ยาก แต่ มันเป็นความจริง มันเป็นทางความจริงที่เราต้องเดิน กับเราไปทำอย่างนั้น
สิ่งที่เขาพิสูจน์มาแล้วว่ามันสบายตอนแรกไง เขาบอกเข้ามาทุกคน ทุกคนจะพูดคำนี้เลย เมื่อก่อนเป็นคนไม่ดี เป็นคนอารมณ์ร้าย เดี๋ยวนี้ไปดูจิตแล้วมันจะดีขึ้นเลย ก็ดีสิ คำว่าเมื่อก่อนอารมณ์ร้ายเพราะเราไม่ได้ไปควบคุมมันใช่ไหม เราก็ปล่อยมันไปตามแต่กำลังของกิเลสใช่ไหม พอเรามาดูจิตเรามาควบคุมมันไง เหมือนเด็ก เด็กมันซนใช่ไหม เราจับเด็กให้นั่งนิ่งๆก็เท่านั้นเอง เมื่อก่อนเด็กมันซนมันก็ดิ้นรนไป ไปจับมีดจับไม้มันก็ฟันตัวมันเอง แต่พอมันนั่งนิ่งๆ มันไม่ทำอะไรเลย โอ๋ สบายๆ มันก็เท่านั้น แล้วเด็กนั่งนิ่งๆมันจะเป็นคนดีขึ้นมาได้ไหม เด็กมันจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้ไหม ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีวิชาชีพ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีความระลึกรู้ ไม่มีความเกรงกลัว ไม่มีความละอายต่อบาปคนมันจะดีขึ้นมาได้ยังไง
คนมันจะดีมันก็ต้องมีความเกรงกลัว ความเกรงกลัวต่อบาป มันมีความเกรงกลัวต่อบาปมันยังไม่ใช่มรรคนะ มรรคมันมรรคญานเกิดขึ้นมามันทำลายจิตอวิชชาขึ้นมา มันเป็นความจริงอันนั้น ความจริงต้องเป็นอย่างนี้สิ พอเป็นอย่างนี้แล้วพอพุทโธๆขึ้นมามันยากไหมล่ะ มันยากเพราะมันจะเป็นฐานไง ฐานให้เราได้ใช้จิตนี้ไปพิจารณา ให้ใช้ฐานใช้จิตนี้ไปทำคุณงามความดี มันยังมีความดีที่เราต้องแก้ไขต้องปรับปรุงขึ้นไป มันถึงต้องมีฐานที่ตั้งมีคุณความดีขึ้นมา มันถึงเป็นความยากไง
ถ้ามันง่ายๆนะ คำนี้เราก็รับไม่ได้ ๗ วันจะเป็นพระโสดาบัน อะไรต่ออะไรว่าง่ายๆ ง่ายๆ มันเหมือนกับเรา เราบอกว่า ทุกคนซื้อหวยแล้วถูกรางวัลที่ ๑ หมดเลย มันจะเป็นไปได้ยังไง โสดาบันคือรางวัลที่ ๑ นะ แล้วเราบอกว่าทุกคนมาซื้อหวยถูกหมดเอ็งว่าเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ก็เหมือนกัน ลัดสั้นๆ ๗ วันเป็นโสดาบัน มันเป็นไปไม่ได้
สิ่งที่เขาพูดมันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วสิ่งที่เขาสอน คำสอนมันก็กลบกันไว้ เกลื่อนกันไว้ แต่ตอนนี้มันเริ่มเปิดออกมาแล้ว แล้วเราเห็นชัดเจนแล้ว ไม่ใช่โจมตี บอกว่าอะไรผิด อะไรถูก แล้วเขาก็ค้านมาสิ ถ้าเขาค้านมาด้วยผลว่าที่เราพูดผิดหมดนะ เราจะสาธุ เราจะแก้ไข เราจะไปขอขมาเลยนะ เกล้ากระผมเห็นผิดไปแล้วครับ เกล้ากระผมจะขออภัยครับ เพราะเกล้ากระผมเห็นผิดไป พูดมาสิ แล้วถ้ามีจริงกูจะไปขอขมามึง แล้วพูดมาสิ พูดมาว่าอันไหนกูพูดผิด อันไหนกูวิจารณ์มึงผิด เนาะ จบแล้วแหละ เอวัง